คำคมชีวิตรักจากแดจังกึม
จากแดจังกึม ... จงอย่าผยองตนเองว่าสามารถตัดสินคนโน้นคนนี้ได้โดยการวินิจฉัยไม่กี่ครั้งเหมือนกันที่ เราไม่ควรตัดสินคน จากการมอง การพูดคุย การพบกันเพียงไม่กี่ครั้งคนเรามีสิ่งที่ซ่อนอยู่มากมาย ที่ไม่สามารถจะมองออกด้วยการมองเพียงผิวเผิน
"คนที่เข้าใจเรามากที่สุด อาจเป็นคนที่ตอนแรกเราเกลียดขี้หน้ามากที่สุดก็ได้ ... และคนที่เราคิดว่าเป็นคนดีอย่างโน้นอย่างนี้ จริงๆแล้วอาจเป็นศัตรูที่ร้ายกาจที่สุดของเราก็ได้"
วิธีที่ช่วยเราได้คือ ลองแยกจิตใจของเราออกมาจากตัวตน ให้เสมือนว่าเรากำลังมองดูตนเองอยู่ข้างบน มองว่าเรากำลังทำอะไร กำลังคิดอะไร แล้วมาพิจารณาว่า ... เรากำลังทำสิ่งที่ถูกต้องอยู่รึเปล่า
(วิธีนี้อ่านจากหนังสือของ Stephen R. Covey)
____________________________________________________________
"ไปเอาน้ำ มา"
"ไปเอาน้ำ มา..."
นายหญิง แฮซังกุงพูดอยู่เช่นนี้หลายวันกว่าจังกึมจะเข้าใจและระลึกได้ว่า แม่ของตนซึ่งเป็นนางในเคยสอนไว้ว่า ก่อนที่จะนำน้ำไปให้ใครควรถามสารทุกข์สุกดิบก่อนว่าวันนี้มีสภาพร่างกายอย่างไร?
เช่น เจ็บคอไหม? หรือถ่ายท้องแล้วหรือยัง?
แล้วจึงนำน้ำมาให้ตามสภาพร่างกายของผู้รับ
หากเจ็บคอ ก็ควรนำน้ำอุ่นมาให้มิใช่น้ำเย็น
เพราะจังกึมเป็นเด็กที่ฉลาดจึงเรียนรู้เรื่องนี้ได้ในเวลาไม่กี่วัน แต่หากผู้บริหารลองมามองย้อนลูกน้องของเราเองใน ที่ทำงานมีสักกี่คนที่จะเข้าใจเรื่องนี้ได้โดยง่าย
"ไปทำมาใหม่"
"ไปทำมาใหม่"
บอกไปกี่ที่ก็ " ครับผม" หรือ "ค่ะท่าน"
แต่จะทราบไหมว่าความต้องการของผู้บริหารท่านนั้น คืออะไร?
มีอีกหลายตอน ใน "แดจังกึม จอมนางแห่งวังหลวง" ที่ทำให้เราสามารถเรียนรู้การพัฒนาขีดความสามารถ หรือคุณลักษณะที่พึงประสงค์ (Competency)ของคนที่จะเป็นนางในได้ เป็นอย่างดีและเป็นบทเรียนให้เราเห็นถึงการพัฒนาคนตามแนวทางพัฒนา Competency
อีกตอนที่นายหญิงฮันซังกุง และแชซังกุงต้องทำการแข่งขันเพื่อเป็นซังกุงสูงสุด พระมเหสีขอให้นางในทั้งสองหุงข้าวแข่งกัน
"เพียงหุง ข้าวแข่งกันจะตัดสินได้อย่างไร?"
เป็นคำที่กล่าวกันในหมู่นางในว่าพระมเหสีจะตัดสินเรื่องนี้เพียงดูแค่การหุงข้าวเท่านั้นน่ะหรือ?
โดยต่อ มาพระมเหสีขอให้คำตัดสินมาจากนางในด้วยกันเองว่าข้าวที่ออกมาในถ้วยทองเหลือง หรือถ้วยกระเบื้องเคลือบดีกว่ากัน
ผลปรากฏว่าทุกคนต่างวิจารณ์ว่าข้าวในถ้วยกระเบื้องเคลือบซึ่งเป็นของแชซังกุงนั้น นุ่มหอมหวานกว่าของ ฮันซังกุง
แต่เมื่อลงคะแนนตัดสินผลปรากฏว่าข้าวในถ้วยทองเหลืองของฮันซังกุงกลับชนะ เนื่องจากถูกปากนางในผู้ทำการตัดสิน มากกว่า ซึ่งฮันซังกุงได้เปิดเผยภายหลังว่า นางใช้วิธีหุงที่ทำให้ข้าวในหม้อหนึ่งออกมาหลาย รูปแบบมีทั้ง นุ่ม แฉะ และแข็ง เพื่อให้เพื่อนนางในของนางที่เติบโตมาด้วยกันได้ทานข้าวถูกปากของตนเป็นที่สุด
บทเรียน นี้สอนให้รู้ว่า ข้าวที่อร่อยที่สุดคงไม่มี แต่ข้าวที่ถูกปากผู้รับประทานคือ ข้าวที่ดีที่สุด
สะท้อนให้เห็นว่าผู้เป็นนางในควรตระหนักรู้ความต้องการของผู้รับประทานหรือมีความตระหนักถึงความต้องการของลูกค้า (Customer Orientation) มิใช่คิดแต่นำเสนอสิ่งที่ดีที่สุดตามความเห็นของตน ซึ่งเป็นผู้ให้บริการหรือผู้ผลิตสินค้าเท่านั้น
แนวทาง การพัฒนา Competency จากเรื่อง "แดจังกึม" ได้ใช้การแข่งขันมาช่วยพัฒนาคุณลักษณะของคนที่จะเป็นนางในได้อย่างเด่นชัด การแข่งขันทำให้นางในต่างตื่นตัวในการพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง แต่ละคนต่างขวนขวายว่าความรู้ ทักษะด้านใดอีกบ้างที่จะทำให้ตนนั้นเหนือคู่แข่ง
เช่น ความรู้ด้านการทำอาหารอย่างเดียวคงไม่เพียงพอ หรือถือว่าเป็นเพียง Competency พื้นฐานเท่านั้นที่นางในพึงมีแต่มิได้ทำให้นางในคนนั้น โดดเด่นขึ้นมา แต่ความสามารถในการดัดแปลง อาหาร และความรู้ในเรื่อง สมุนไพร วิชาการทางด้านการแพทย์ ทำให้จังกึมเป็นนางในที่โดดเด่นกว่าใคร สามารถใช้อาหารในการรักษาโรคได้
การกำหนด Competency จึงสมควรกำหนดและให้ความสำคัญกับสิ่งที่ทำให้คนที่ทำงาน ในตำแหน่งงานนั้นโดดเด่นขึ้นมา หรือที่ McClelland เรียกว่า Superior Performer มิใช่การกำหนดแต่ Competency ที่เป็นพื้นฐานเท่านั้น
โดยเฉพาะองค์กรที่ต้องการพัฒนาความสามารถของคนให้เกิดความสามารถในการแข่งขันระดับองค์กรได้ จึงต้องเฟ้นหาขีดความสามารถดังกล่าวและทำการพัฒนาอย่างเร่งด่วน
อย่างไร ก็ตามการแข่งขันในองค์กรนั้นหากสร้างให้เกิดการแพ้ชนะอย่างเช่นในเรื่องแดจังกึมแล้ว คงมิเป็นผลดีแก่องค์กรในภาพรวม แต่หากเป็นการแข่งขันเพื่อพัฒนาทักษะ ความรู้ ความสามารถหรือ Competency ที่เปิดโอกาสให้คนได้ เรียนรู้และแข่งขันโดยสามารถมีโอกาสจะชนะได้มากกว่าหนึ่งคน
หรือ ที่ Bob Behn อาจารย์จาก John F. Kennedy School, Harvard University เรียกว่า "Creating Friendly Competition" ให้โอกาสทุกคนที่จะชนะ "Give everyone opportunity to win" จะทำให้องค์กรนั้นๆ สู่ความเป็นเลิศได้
อย่าลืม ว่าองค์กรที่เป็นเลิศได้คงไม่ใช่มีเพียงคนเก่งคนหรือสองคนเท่านั้น แต่ยิ่งมากยิ่งดี
ยังมี อีกหลายตอนที่ต้องยอมรับว่าละครเรื่องนี้สร้างได้ดี มีข้อคิดทั้งด้านชีวิตและ การทำงาน โดยเฉพาะแง่มุมการพัฒนาคนและองค์กร
ที่มา : ผศ. ดร. จิรประภา อัครบวร" จาก โครงการบัณฑิตศึกษาการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ NIDA
XOXO ,
Happy Nucha